- เขียนโดย Admin
- หมวด: เกี่ยวกับเรา
การผลิตใบมะกรูดเชิงการค้า
รศ.ดร.รวี เสรฐภักดี, สามารถ เศรษฐวิทยา และ สุขะวัฒน์ ทองเหลี่ยว
ศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขตร้อน ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นครปฐม 73140 โทร. 034-351-934 โทรสาร 034-351-934
เทคโนโลยีการผลิตใบมะกรูด
ไม้ยืนต้นตระกูลส้ม รวมถึงมะกรูดนั้น มีการเติบโตด้านกิ่งใบ (vegetative growth) สร้างใบ กิ่งก้าน ลำต้น และราก กับการเติบโตด้านสืบพันธุ์ (reproductive growth) สร้างดอก ผล และเมล็ด แยกกันอย่างชัดเจน หากมีการเติบโตด้านหนึ่งมาก การเติบโตอีกด้านหนึ่งก็จะลดลง การผลิตใบมะกรูดมุ่งไปที่การเติบโตด้านกิ่งใบ เป็นหลัก แต่ไม่เน้นการผลิตผลมะกรูด โดยอาศัยการตัดแต่งกิ่ง ร่วมกับการจัดการอื่นๆ เพื่อกระตุ้นให้มีการผลิตา และส่งเสริมการเติบโตทางกิ่งใบ ซึ่งมีสิ่งที่ควรคำนึงถึงดังนี้
- พื้นที่ปลูก ต้องมีการระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขัง มีระดับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ในช่วง 5.5 - 7.0 มีอินทรียวัตถุสูง หรือปรับแต่งโดยการใช้ ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยพืชสด เสริม ควรมีการไถพรวนพื้นที่ก่อนเพื่อช่วยไม่ให้ดินแน่นทึบ การปลูกในโรงเรือนมุ้งตาข่ายขนาดความถี่ช่อง 20 เมช (Mesh; 20 ช่องต่อนิ้ว) ช่วยลดปัญหาของแมลงศัตรูพืชขนาดใหญ่ได้มาก
- การเตรียมแปลงปลูก และระยะปลูก ขนาดของแปลงปลูกที่เหมาะสม ควรมีความกว้าง 1 เมตร ยกระดับความสูงประมาณ 20 - 25 ซม. จากผิวดิน มีทางเดินระหว่างแปลงกว้าง 50 ซม. ปลูกแบบแถวคู่ สลับฟันปลา ใช้ระยะระหว่างต้น 50 ซม. และระยะระหว่างแถว 50 ซม. (ภาพที่ 1) ในพื้นที่ 1 งาน (20 x 20 ม. หรือ 400 ตารางเมตร) มีแปลงปลูกหน้ากว้าง 1 เมตร ยาว 18 เมตร จำนวน 18 แปลง แต่ละแปลงปลูกได้ 72 ต้น รวมจำนวนต้นมะกรูดทั้งหมด 1,296 ต้น
ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้ระยะปลูกที่ห่างกว่า เนื่องจากการผลิตใบมะกรูดนั้น มีการตัดแต่งกิ่ง เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งเท่ากับเป็นการควบคุมขนาดพุ่มต้นไปพร้อมกันอยู่แล้ว
ภาพที่ 1 ขนาดแปลง และระยะปลูก
- กิ่งพันธุ์ สามารถใช้ต้นพันธุ์ที่ขยายจากการเพาะเมล็ด กิ่งปักชำ หรือกิ่งตอน แต่ต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด มักมีการเติบโตที่ช้ากว่าในช่วงระยะแรก ต้นพันธุ์ที่พร้อมปลูกลงแปลงควรมีอายุ 1-2 เดือน มีระบบรากที่ดี ไม่ม้วนวนเนื่องจากอยู่ในถุงปลูกนานเกินไป และที่สำคัญคือ จะต้องปลอดจากโรคแคงเกอร์ส้ม (citrus canker) โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Xanthomonas campestris pv. citri (Hasse) Dye ซึ่งเป็นข้อจำกัดหลักที่ทำให้เราไม่สามารถส่งออกใบมะกรูดไปยังกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปได้
การกำจัดโรคนี้ทำได้ยาก เมื่อมีการแพร่ระบาดเข้าไปในแปลงปลูกแล้ว ดังนั้นจึงควรป้องกันตั้งแต่เริ่มแรก โดยใช้วิธีการคัดเลือกกิ่ง และตัดแต่งกิ่ง/ใบ ส่วนที่เป็นโรคออกแล้วนำไปเผาไฟ จากนั้นนำกิ่งพันธุ์ไปแช่ในสารปฏิชีวนะ เช่น สเตร็ปโตมัยซิน (Streptomycin) ความเข้มข้น 500 พีพีเอ็ม เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนนำไปปลูก หรือ แช่ในสารชีวภัณฑ์ ไตรโคเดอร์มา ชนิดน้ำ ที่ผสมในอัตรา 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ก่อนนำไปปลูก
- การจัดการแปลง แนะนำให้ใช้ผ้าพลาสติก หรือใช้ฟางข้าวคลุมแปลงปลูก เพื่อป้องกันวัชพืชและช่วยรักษาความชื้นในดิน
- ระบบน้ำ ในกรณีที่ใช้ผ้าพลาสติกคลุมแปลงปลูก แนะนำให้ใช้ระบบน้ำหยด ที่สามารถจ่ายปุ๋ยไปพร้อมกับการให้น้ำ (fertigation) ส่วนแปลงที่ไม่ได้ใช้ผ้าพลาสติกคลุม สามารถเลือกให้น้ำด้วยระบบต่างๆ ที่มีอยู่ตามความเหมาะสม
- การให้ปุ๋ย ในการผลิตใบมะกรูดนั้น มีนำเอาธาตุอาหารออกไปจากดินอย่างต่อเนื่อง โดยติดไปกับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวออกพื้นที่ จึงจำเป็นต้องให้ปุ๋ยกลับคืน เพื่อชดเชยระดับธาตุอาหารในดินให้เหมาะสม ปุ๋ยที่ใช้ควรมีสัดส่วนของธาตุอาหาร N-P-K ประมาณ 5 : 1 : 3 หรือ 5 : 1 : 4 หรือใกล้เคียงกัน เช่น ปุ๋ยทางดินสูตร 21-7-14, 20-4-16 (ใช้ปุ๋ย 15-5-20 ผสมกับ 46-0-0 อัตรา 4 ต่อ 1) อัตรา 5 กรัมต่อต้น หรือให้ไปกับระบบน้ำ ทุก 20-30 วัน ปุ๋ยทางใบ สูตร 24-9-19, 18-6-12 พ่นทุก 7-14 วัน ส่วนธาตุอาหารอื่นๆ ก็จำเป็นต้องเสริมให้หลังแตกใบอ่อนเป็นระยะซึ่งมีอยู่ในปุ๋ยทางใบ
- การป้องกันกำจัดศัตรูพืช นอกจากโรคแคงเกอร์แล้ว ไม่พบว่ามีโรคอื่นๆ ที่สร้างความเสียหายรุนแรง ส่วนแมลงศัตรูพืชที่สำคัญได้แก่ เพลี้ยไฟ หนอนชอนใบ เพลี้ยอ่อน และเพลี้ยแป้ง ซึ่งสามารถพ่นสารป้องกันกำจัดแมลง เช่น อาบาเม็กติน ไซเปอร์เมทริน อิมิดาคลอพริด ฟิโปรนิล หรือไดโนทีฟูแรนโดยแนะนำให้พ่นที่ 1, 4 และ7 วันหลังแตกยอด (ระยะเขี้ยวงู) ตามอัตราที่แนะนำในฉลาก การปลูกในโรงเรือนมุ้งตาข่ายสามารถป้องกันหนอนชอนใบและแมลงศัตรูอื่นๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง
- การตั้งทรงพุ่ม หลังย้ายปลูกลงแปลงประมาณ 4 - 6 เดือน ตัดแต่งปลายยอดออก ที่ระดับความสูง 60 -80 ซม. จากผิวดิน ตัดกิ่งแขนงออก ให้ลำต้นส่วนล่างนี้ เป็นลำเดี่ยว เรียกว่า หน้าแข้ง ภายหลังการตัดแต่ง ตาจะเริ่มผลิและยืดออกเป็นยอดใหม่ เลือกยอดใหม่ที่แข็งแรงและเติบโตพุ่มขึ้นไว้ 2 – 3 ยอด กระจายห่างกัน ยอดที่อยู่ในแนวตั้งฉาก หรือเกือบตั้งฉากกับพื้นจะเติบโตได้ดี มีใบใหญ่จำนวนมากกว่า เมื่อเทียบกับกิ่งที่เอนขนานกับพื้น 1 ต้นมียอดที่จะตัดเก็บเกี่ยวได้ 6 ยอด นี่คือโครงสร้างของพุ่มต้นมะกรูดที่จะรักษาไว้ (ภาพที่ 2)
ภาพที่ 2 โครงสร้างของพุ่มต้นมะกรูดเพื่อการตัดใบ
- การเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังตัดกิ่งแล้ว 7 วันจะเริ่มแตกตา ยอดใหม่มีการเติบโตยืดตัว ใบเริ่มคลี่สุดประมาณ 30 วัน และใบพร้อมเก็บเกี่ยวได้หลังตัดแต่งกิ่งแล้ว 45-60 วัน โดยตัดลึกให้เหลือตอละ 2 ตา จะได้น้ำหนักผลผลิต 300-500 กรัมต่อต้น หรืออย่างน้อย 1.5 ตันต่อไร่ต่อรอบ ซึ่งในรอบปีจะให้ผลผลิตได้ 6 รอบ
- เขียนโดย Admin
- หมวด: เกี่ยวกับเรา
นับตั้งแต่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 2กุมภาพันธ์ พ.ศ.2486 หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการสอนวิชาที่เกี่ยวข้องกับพืชสวนขึ้น วิชาพืชสวนที่มีการสอนอยู่ในสมัยนั้นยังรวมอยู่ในวิชาต่างๆ ของแผนกวิชาเกษตรศาสตร์ จนกระทั่งในปี พ.ศ.2500จึงได้รวบรวมวิชาทางพืชสวนเข้ามาไว้ในแผนกพืชกรรม สังกัดแผนกวิชาเกษตรศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ.2508 ได้มีการตั้งแผนกวิชาพืชศาสตร์ โดยรวมงานที่เกี่ยวกับพืชสวนและพืชไร่เข้าไว้ในแผนกนี้ และมีฐานะเป็นหมวดวิชา สังกัดอยู่ในคณะกสิกรรมและสัตวบาล และเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2518 มีประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาตั้งภาควิชาพืชสวนขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยให้สังกัดอยู่กับคณะเกษตรซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากคณะกสิกรรมและสัตวบาล ในปี พ.ศ.2522 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ขยายงานบางส่วนของคณะเกษตร รวมถึงการเคลื่อนย้ายนิสิตบางส่วนมาศึกษาที่วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม งานบางส่วนของภาควิชาพืชสวนจึงมีการเคลื่อนย้ายไปด้วย และในปัจจุบันนี้ภาควิชาพืชสวน ได้สังกัดอยู่ในคณะเกษตร กำแพงแสน ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นคณะใหม่แยกจากคณะเกษตร ที่วิทยาเขตบางเขน เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2546
- เขียนโดย Admin
- หมวด: เกี่ยวกับเรา
พืชสวน เป็นกลุ่มพืชที่มีความสำคัญต่อมนุษย์อย่างมาก ในเรื่องของอาหาร การบำบัดทางสภาพจิตใจ การขับเคลื่อนของธุรกิจเกษตร แต่ในปัจจุบันศักยภาพของผลิตผลพืชสวนในประเทศยังไม่ดีพอที่จะแข่งขันกับต่างประเทศทั้งในเรื่อง พันธุ์ เทคโนโลยีการผลิต และการจัดการ ปัญหาเหล่าเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างชาญฉลาด เพราะประเทศของเราได้เปิดการค้าเสรีกับหลายประเทศซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรของไทยอย่างมากในอนาคต
ภาควิชาพืชสวนทราบในปัญหานี้ดี จึงมุ่งเน้นที่จะพัฒนาการเรียนการสอน และการวิจัยให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน ทั้งด้านการจัดการด้านการผลิต และเทคโนโลยี เพื่อลดขีดจำกัด และเพิ่มศักยภาพของผลิตผล เพื่อเผยแพร่ความรู้สู่เกษตรกรผู้ผลิต และผู้เกี่ยวข้องกับงานทางด้านพืชสวน อีกทั้งยังมุ่งพัฒนาเพิ่มศักยภาพความสามารถของบัณฑิตให้มีความรู้ขั้นสูงทางด้านพืชสวน และเป็นนักวิจัยหน้าใหม่เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรผู้ผลิต และผู้บริโภคในอนาคตต่อไป โดยได้จำแนกสาขาการศึกษาและวิจัยในระดับบัณฑิตศึกษาออกเป็น 5 สาขาได้แก่
- สาขาการปรับปรุงพันธุ์พืช และเทคโนโลยีชีวภาพ
ศึกษา และวิจัยเน้นเกี่ยวกับการพัฒนาพืชพันธุ์ใหม่ การปรับปรุงพันธุ์ การรวบรวมเชื้อพันธุกรรม การชักนำการกลายพันธุ์ พันธุวิศวกรรมพืชสวนระดับของโมเลกุล และระดับเซลล์ ในผัก ไม้ผล และสมุนไพร รวมถึงการใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ - สาขาสรีรวิทยาการผลิต
ศึกษา และวิจัยเน้นด้านสรีรวิทยาในการเจริญเติบโตของพืชสวนที่มีศักยภาพ ในการตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อม การเขตกรรม ธาตุอาหาร น้ำ สารควบคุมการเจริญเติบโต และกระบวนการทางชีวเคมีที่เกิดขึ้นในพืช รวมถึงการประยุกต์ใช้ รวมถึงการขยายพันธุ์พืชสวน - สาขาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว
ศึกษาและวิจัยเน้นด้านสรีรวิทยา และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับผลิตผลก่อน และหลังการเก็บเกี่ยว ที่ส่งผลต่อคุณภาพของผลิตผลหลังการเก็บเกี่ยว รวมถึงวิธีการจัดการกับผลิตผล และเทคโนโลยี เพื่อยืดอายุการวางจำหน่าย และคงคุณภาพของผลิตผลให้ได้นาน - สาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของเมล็ดพันธุ์
ศึกษาและวิจัยเน้นทางด้านกระบวนการทางสรีรวิทยาของเมล็ดพันธุ์ และเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเมล็ดพันธุ์ รวมถึงเทคนิคการเก็บรักษา และการตรวจสอบคุณภาพ - สาขาพืชสวนเพื่อสภาพแวดล้อม
ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ภาควิชาพืชสวน มีหน่วยงานเข้ามาอยู่ในกำกับดูแลเพิ่มเติมอีก 3 หน่วยงาน ได้แก่
1. ศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน
2. ศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขตร้อน
ความเป็นมา
ตามแผนการใช้ที่ดินของวิทยาเขตกำแพงแสน ได้กำหนดให้พื้นที่ฝั่งตรงข้ามทางด้านข้างของศูนย์ปฏิบัติการและเรือนปลูกพืชทดลอง จำนวน 27 ไร่ และต่อมาได้ขยายเป็น 35 ไร่ โดยมอบให้ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างเป็นศูนย์ไม้ผลเขตร้อนขึ้นเมื่อปี 2524 ได้มีการออกแบบแผนผังสวนและดำเนินการปรับปรุงพื้นที่พร้อมกับปลูกต้นไม้ผลบางชนิดไว้แล้วจำนวนหนึ่ง แต่ขาดงบประมาณในการดำเนินการ ต่อมาในปี 2533 ได้มีการนำมาทบทวนใหม่โดยรองอธิการบดีประจำวิทยาเขตกำแพงแสน พร้อมกับพัฒนาขึ้นมาเป็นลักษณะของสวนพฤกษศาสตร์ทางไม้ผลเขตร้อน เพื่อให้ทันกับวันที่ 12 สิงหาคม 2533 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์ไม้ผล เขตร้อนเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา” (Tropical Fruit Garden in Honour of H.M Queen Sirikit on Her Magesty’s Sixtieth Birthday Anni-versary) พร้อมกับได้รับการบรรจุเข้าไว้ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษา ระยะที่ 7 ( 2535-2539 ) ในความดูแลของศูนย์วิจัยและพัฒนาไม้ผลเขตร้อน สถาบันวิจัยและพัฒนา กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
วัตถุประสงค์
เป้าหมายหลักของศูนย์ฯ คือ ศึกษาและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไม้ผลเขตร้อนในด้านเทคโนโลยีสาขาพันธุศาสตร์ การปรับปรุงพันธุ์เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการพัฒนาพันธุ์ไม้ผลเขตร้อนชนิดต่างๆ ระบบการจัดการและเศรษฐศาสตร์การผลิต เทคโนโลยีการผลิต เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยว เทคโนโลยีการขยายพันธุ์ และเกษตรอุตสาหกรรม โดยเน้นศึกษาไม้ผลที่มีศักยภาพในเชิงการค้าสูง คือ ส้มโอ ส้มเปลือกร่อน ทุเรียน มังคุด ลำไย ลิ้นจี่ มะละกอ องุ่น มะขาม มะนาว กล้วย สับปะรด ลองกอง เงาะ หมาก มะพร้าว โกโก้ เป็นต้น
3. ศูนย์เทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว
- เขียนโดย Admin
- หมวด: เกี่ยวกับเรา
ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีปณิธานมุ่งมั่นในการแสวงหา พัฒนา และส่งเสริมความรู้ทางด้านพืชสวน ให้เกิดความเจริญงอกงามและภูมิปัญญาที่เพียบพร้อมด้านวิชาการ จริยธรรม และคุณธรรม ตลอดจนเป็นผู้ชี้นำทิศทาง เพื่อความเจริญของการพืชสวนไทย
วิสัยทัศน์
สร้างองค์ความรู้ใหม่ ไขปัญหาปัจจุบัน ผลักดันอนาคต
นโยบาย แผนกลยุทธ์/แผนพัฒนา และแผนงานประกันคุณภาพ
ภาควิชาพืชสวน มีการเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี โท และ เอก สาขาพืชสวน เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถด้านพืชสวน ที่พร้อมด้วยจริยธรรม มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับของสังคม และเป็นผู้นำการเกษตรของประเทศ ควบคู่กับการสร้างผลงานวิจัย เพื่อพัฒนาการผลิตพืชสวนอย่างมีประสิทธิภาพ การบริการวิชาการเผยแพร่เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ให้กับภาครัฐและเอกชน ตลอดจนมีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม ภายใต้การบริหารที่มีแบบแผนชัดเจน สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาคณะเกษตร กำแพงแสน วิทยาเขต และส่วนภูมิภาค
ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร กำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นหน่วยงานหลักของประเทศในการรวบรวม ศึกษา และพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพืชสวนให้ทันสมัยในระดับสากล เพื่อใช้ในการผลิตบัณฑิตด้านพืชสวนให้มีความเป็นเลิศด้านทักษะความชำนาญและวิชาการทางพืชสวน และเพื่อใช้ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีแก่เกษตรกร และให้บริการทางวิชาการแก่วงการพืชสวนไทย โดยบัณฑิตของภาควิชาฯ จะต้องพร้อมด้วยคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในสังคมไทย และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ
พันธกิจ ภาควิชาพืชสวน วิทยาเขตกำแพงแสน
ภาควิชาพืชสวนมีพันธกิจหลักในการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพืชสวนในทุกรูปแบบแก่นิสิตทุกระดับ โดยสร้างงานวิจัยและนำองค์ความรู้ที่ได้มาใช้ในการเรียนการสอนควบคู่กันไป และใช้กิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างและหล่อหลอมสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้บัณฑิตที่ภาควิชาพืชสวนผลิตเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพและคุณธรรมในการทำงาน ภารกิจหลัก 4 ด้าน
การเรียนการสอน
การวิจัย
การบริการวิชาการ
การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
แผนการดำเนินการของภาควิชาประกอบด้วย แผนงาน 7 ด้าน
ด้านการเรียนการสอน
ด้านกิจกรรมนิสิต
ด้านการวิจัย
ด้านการบริการวิชาการ
ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ด้านบริหารและการจัดการ
ด้านการประกันคุณภาพ
วัตถุประสงค์
ผลิตบัณฑิตที่มีความเชี่ยวชาญ และสามารถประยุกต์วิชาความรู้ด้านต่างๆ มาใช้ในการผลิตพืชสวนอย่างเหมาะสมต่อการพัฒนาประเทศผลิตบัณฑิตที่มีจริยธรรม คุณธรรม และมีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของสังคม และตลาดงาน เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศทางด้านการเกษตรสร้างผลงานวิจัยที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการประยุกต์ใช้ในการผลิตพืชสวนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนให้บริการด้านเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ ทางพืชสวน กับภาครัฐและเอกชน สืบสานวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของชาติ และอนุรักษ์วิถีชีวิตไทยที่ใช้ประโยชน์จากพันธุ์พืชสวน